วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

การหาร

           

การหาร

ตัวอย่าง

มีฟักทองอยู่ 12 ผล  ต้องการแบ่งให้ เป็นจำนวนเท่า ๆ กัน ดังนี้ 

 การหาร
แบ่งเป็น สองส่วน  เท่า ๆ กัน  จะได้                     อ่านว่า" สิบสอง หาร สอง"
ได้ผลลลัพธ์ ดังรูป

การหาร  12 หาร 2

             ดังนั้น   จะได้ว่า                         


                                            อ่านว่า" สิบสอง หาร สอง  เท่ากับ หก " 



                                                          
12 หาร  3    

  ดังนั้น         จะได้ว่า                                      
                                            

การคูณ

  การคูณ คือการกระทำ ระหว่างสองจำนวน และจะได้ผลการคูณออกมาเรียก จำนวนที่ มาคูณกันว่า

ตัวประกอบ ( factors ) และผลที่ได้เรียกว่า ผลลัพธ์  ( product )

 ตัวอย่าง

      
       3    เป็นตัวประกอบตัวแรก    เราจะให้เป็นกลุ่ม

       5    เป็นตัวประกอบที่ สอง    เราให้เป็นสมาชิกในกลุ่ม 

      15   เป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมด ที่เกิดขึ้น

รูป การคูณ   3  x  5

ดังนั้น เราจะอธิบายเป็นประโยคทางคณิตศาสตร์ ว่า

       3  x   5     =    15

 

เมื่อเราเทียบกับความรู้เดิม ที่เราเรียน คือการบวก จะได้ว่า

      3   x    5     =    5  +   5   +   5     =   15

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

การบวก

การบวก คือผลรวมของจำนวนทั้งหมด ที่เราต้องการ ดังตัวอย่าง A = 5 และ B = 3
ผลบวกของ  A + B จะมีค่าเท่ากับ ผลรวมของ A และ B
ดังนั้น A + B  = 5 + 3  =   8  จะอธิบายดังรูป

                                               
                                                      นับจำนวน ในรูป



                                                            จากรูปจะได้         

                     A =  5          +           B  =  3               =      ?    

 

 

ทำการนับจำนวนทั้งหมด จะได้ผลบวกดังรูป


                                  5    +  3      =      8

                                                                                                         ตอบ        8

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

การให้เหตุผล

     การให้เหตุผล
1.ระบบทางคณิตศาสตร์
อนิยาม คือ ข้อความที่ไม่ต้องให้ความหมาย หรือ คำจำกัดความ
บทนิยาม คือ ข้อความที่ให้ความหมาย หรือคำจำกัดความไว้อย่างชัดเจน เพื่อทุกคนทราบความหมายที่ถูกต้องเข้าใจตรงกัน
สัจพจน์ คือ ข้อความที่ทุกคนยอมรับว่าข้อความนั้นเป็นจริงโดยไม่ต้องพิสูจน์
ทฤษฎีบท คือ ข้อความที่ยอมรับว่าเป็นจริง ได้มีการพิสูจน์โดยอาศัย อนิยาม บทนิยาม สัจพจน์ และวิธีทางอย่างมีเหตุมีผล
2. การให้เหตุผล
มนุษย์เราให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อและเพื่อหาความจริงหรือข้ออสรุปในเรื่องที่ต้องการศึกษา
2.1 การให้เหตุผลแบบอุปนัย ( Inductive Reasoning )
เป็นการให้เหตุผลโดยยึดความจริงส่วนย่อยที่พบเห็นไปสู่ความจริงส่วนใหญ่
ตัวอย่าง มนุษย์สังเกตพบว่า : ทุก ๆวันดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตอ. และตกทางทิศตต.
จึงสรุปว่า : ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตอ. และตกทางทิศตต.เสมอ
การให้เหตุผลแบบอุปนัย หมายถึง วิธีการสรุปในการค้นคว้าความจริงจากการสังเกตหรือทดลองหลายครั้งจากกรณีย่อยๆแล้วนำมาสรุปเป็นความรู้แบบทั่วไป
อย่างไรก็ดีการหาข้อสรุปหรือความจริงโดยใช้วิธีการให้เหตุผลแบบอุปนัยนั้น ไม่จำเป็นต้องถูกต้องทุกครั้ง เนื่องจากเป็นการสรุปผลจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่มีอยู่
ดังนั้น ข้อสรุปจะเชื่อถือได้มากหรือน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล หลักฐานและข้อเท็จจริงที่นำมาอ้าง
1. จำนวนข้อมูล หลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่นำมาเป็นข้อสังเกตหรือข้ออ้างอิงมีมากพอกับการสรุปความหรือไม่
2. ข้อมูลหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงเป็นตัวแทนที่ดีในการให้ข้อสรุปหรือไม่
3. ข้อสรุปที่ต้องการมีความซับซ้อนมากน้อยเพียงใด
2.2 การให้เหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning )
เป็นการนำความรู้พื้นฐาน ความเชื่อ ข้อตกลง กฏ บทนิยามซึ่งเป็นสิ่งที่รู้มาก่อนและยอมรับเป็นจริงเพื่อหาเหตุนำไปสู่ข้อสรุป
ตัวอย่าง เหตุ 1) เด็กทุกคนชอบเล่นฟุตบอล
2) ฟุตบอลเป็นกีฬา
ผล เด็กทุกคนชอบเล่นกีฬา
สรุปว่า การให้เหตุผลแบบนิรนัยนั้น ผลหรือข้อสรุปถูกต้อง เมื่อ
1. ยอมรับเหตุเป็นจริงทุกข้อ
2. การสรุปผลสมเหตุสมผล
ความสมเหตุสมผล
มี 2 ส่วน คือ
1. เหตุ สิ่งที่เรากำหนด / สมมติฐาน
2. ผล ผลสรุป / ข้อสรุป
*ผลสรุป จะถูกต้อง เมื่อมีความสมเหตุสมผล
การตรวจสอบการสมเหตุสมผลการตรวจสอบว่าข้อสรุปสมเหตุสมผลหรือไม่นั้นสามารถตรวจสอบได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อความที่กำหนดมาให้ วิธีหนึ่งคือ การวาดแผนภาพตามสมมติฐานที่เป็นไปได้ แล้วจึงพิจารญาว่าแผนภาพแต่ละกรณีแสดงผลสรุปตาม/STRONG> จากแผนภาพ สอดคล้องกับผลสรุป
ดังนั้น การให้เหตุผลนี้ สมเหตุสมผล
ตัวอย่างเหตุ 1. คนจีนบางคนนับถือศาสนาพุทธ
2. เหมยเป็นคนจีน
ผล เหมยไม่นับถือศาสนาพุทธ
ตอบ จากแผนภาพพบว่า กรณี 2 ไม่สอดคล้องผลสรุป ดังนั้นไม่สมเหตุสมผล
หมายเหตุ ในการแสดงผลสรุปไม่สมเหตุสมผล เราไม่จำเป็นต้องเขียนแผนภาพทั้งหมดทุกกรณี โดยอาจจะยกเฉพาะกรณีที่ แผนภาพไม่สอดคล้องกับผลสรุปเพียงกรณีเดียวก็พอ
ตัวอย่าง เหตุ 1) เรือทุกลำลอยน้ำ
2) ถังน้ำพลาสติกลอยน้ำได้
ผล ถังน้ำพลาสติกเป็นเรือ >> สังเกตว่า แม้ว่าข้ออ้างหรือเหตุทั้งสองข้อจะเป็นจริง แต่การที่เราทราบ ว่า เรือทุกลำลอยน้ำได้ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งอื่นๆ ที่ลอยน้ำได้จะต้องเป็นเรือเสมอไป ข้อสรุปในตัวอย่างข้างต้นจึงเป็นการสรุปที่ไม่สมเหตุสมผล
ตอบ สมเหตุมผล
ตัวอย่าง เหตุ 1. แมวทุกตัวเป็นปลา
2. ต้นไม้ทุกต้นเป็นแมว
ผล ต้นไม้ทุกต้นเป็นปลา >> สังเกตว่า ผลสรุปที่กล่าวมาว่า ต้นไม้ทุกต้นเป็นปลา นั้นสมเหตุสมผล แต่ไม่เป็นความจริงทางโลก
หมายเหตุ เมื่อยอมรับเหตุเป็นจริงตามสมมติฐานที่ตั้งไว้แล้ว ต่อให้ผลสรุปขัดแย้งกับความเป็นจริงทางโลก แต่หากเป็นจริงตามการให้เหตุผลนั้นแล้ว ก็ถือว่า การให้เหตุผลนั้นสมเหตุสมผล
สรุป การให้เหตุผลแบบอุปนัย– โดยอ้างจากตัวอย่างหรือประสบการณ์ย่อยหลายๆตัวอย่าง แล้วสรุปเป็นความรู้ทั่วไป
– จากเหตุกาณ์เฉพาะที่เกิดขึ้นซ้ำๆหลายๆครั้ง
– โดนใช้การคาดคะเน
– จากประสบการณ์ของผู้สรุป
– สิ่งที่กำหนดให้ จะสนับสนุน ผลสรุป แต่จะไม่สามารถยืนยันข้อสรุปได้
– ย่อย >> ใหญ่ คือ การนำข้อค้นพบจากตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่างมาสรุปเป็นความรู้ทั่วไป กฎ สูตร หรือหลักการ
สรุป การให้เหตุผลแบบนิรนัย
– โดยอ้างเหตุผลจากความรู้พื้นฐานชุดหนึ่งที่ยอมรับกันมาก่อน
– เมื่อเหตุ (ข้อสมมติ) เป็นจริง แล้วทำให้เกิดผลสรุป
– สิ่งที่กำหนดให้ (เหตุ) สามารถยืนยัน ผลสรุปได้
– ถ้าเหตุนั้นทำให้เกิดผลสรุปได้ = การให้เหตุผลดังกล่าวสมเหตุสมผล
– ถ้าเหตุทำให้เกิดผลสรุปไม่ได้ = การให้เหตุผลดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล
– ใหญ่ >> ย่อย คือการนำความรู้ทั่วไป กฎ สูตร หรือหลักการมาใช้ในการหาคำตอบหรืออธิบายหรือให้เหตุผลกับกรณีเฉพาะอันหนึ่ง

อนุกรม

บทนิยาม       อนุกรม
    ถ้า  a1,   a2,   a3,   …,   an   เป็น ลำดับจำกัด ที่มี n พจน์ จะเรียกการเขียนแสดงผลบวกของพจน์ทุกพจน์ของลำดับในรูป  a1  +  a2  +  a3 +   +  an  ว่า  อนุกรมจำกัด  ทำนองเดียวกัน  ถ้า   a1,   a2,   a3,   …,   an,   เป็น  ลำดับอนันต์  จะ เรียกการเขียนแสดงผลบวกในรูป a1  +  a2  +  a3 +   +  an  + …  ว่า   อนุกรมอนันต์
1. ความหมายของอนุกรมและสัญลักษณ์แทนการบวก
                        กำหนด     a1,   a2,   a3,   … ,  an                                       เป็นลำดับจำกัด
                        จะได้        a1   +   a2   +   a3  +      +   an                      เป็นอนุกรมจำกัด
                        และ เมื่อ   a1,   a2,   a3,   …,   an,                                 เป็นลำดับอนันต์
                        จะได้        a1   +   a2   +   a3  +      +   an   +             เป็นอนุกรมอนันต์
                        จากบทนิยาม จะได้ว่า อนุกรมจำกัดมาจากลำดับจำกัด  และอนุกรมอนันต์มาจากลำดับอนันต์
                        จากอนุกรม  a1   +   a2   +   a3  +      +   an   + 
                                เรียก       a1     ว่าพจน์ที่ 1    ของอนุกรม
                                                a2     ว่าพจน์ที่ 2    ของอนุกรม
                                                a3     ว่าพจน์ที่ 3    ของอนุกรม
                                                an     ว่าพจน์ที่ n    ของอนุกรม
2. ตัวอย่างของอนุกรม
    1.    1  +  3  +  5  +  7  +   +  99            เป็น อนุกรมจำกัด
            ที่ได้จากลำดับจำกัด    1,  3,  5,  7,   …,   99
    2.    1 +  2  +  4  +   +  2n-1  +          เป็น อนุกรมอนันต์
            ที่ได้จากลำดับอนันต์  1,   2,   4,   …,   2n-1  ,   
สัญลักษณ์แทนการบวก
                       เพื่อให้การเขียนอนุกรมสะดวกขึ้นจึงนิยมใช้อักษรกรีก  (ซิกมา)
เป็น  สัญลักษณ์แทนการบวก  เขียนแทน   a1   +   a2   +   a3  +      +   an   ด้วย  img1.gif
                        นั่นคือ          img1.gif    =    a1   +   a2   +   a3  +      +   an  
                                                img1.gif =    a1   +   a2   +   a3  +      +   a 10  
                        เขียนแทน     a1   +   a2   +   a3  +      +   an +  ...    ด้วย    img2.gif
                        นั่นคือ      img2.gif       =    a1   +   a2   +   a3  +      +   an +  ...    
สมบัติบางประการเกี่ยวกับ

          1.    img3.gif         =      C  +  C  + C  +    (n ตัว)
                                   =      Cn              เมื่อ  C R
           2.   img4.gif       =     img5.gif
           3.   img6.gif
            4.   img7.gif

ลำดับ

บทนิยาม      ฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซตของจำนวนเต็มบวกที่เรียงจากน้อยไปมากโดยเริ่มตั้งแต่  1   เรียกว่า ลำดับ
                                ถ้าฟังก์ชันเป็นลำดับที่มีโดเมนเป็น    { 1, 2, 3, …, n }  เรียกว่า    ลำดับจำกัด
                                และถ้าฟังก์ชันเป็นลำดับที่มีโดเมนเป็น { 1, 2, 3, … }  เรียกว่า   ลำดับอนันต์
    1    ความหมายของลำดับ
                        ในการเขียนลำดับ จะเขียนเฉพาะสมาชิกของเรนจ์เรียงกันไป
                        กล่าวคือ  ถ้า a  เป็น ลำดับจำกัด  จะเขียนแทนด้วย   a1,   a2,  a3,  …,  an 
                        และ        ถ้า a  เป็น ลำดับอนันต์  จะเขียนแทนด้วย  a1,  a2,  a3,  …,  an,   
                        เรียก           a1   ว่า  พจน์ที่ 1  ของลำดับ        
                        เรียก          a2   ว่า  พจน์ที่ 2  ของลำดับ        
                        เรียก          a3   ว่า  พจน์ที่ 3  ของลำดับ        
                                            
                        และเรียก   an  ว่า  พจน์ที่ n  ของลำดับ หรือพจน์ทั่วไปของลำดับ
    2.        ตัวอย่างของลำดับ
                        1)   4,  7,  10,  13    เป็น   ลำดับจำกัด  ที่มี
                         a1             =           4             
                        a2             =           7                
                        a3             =            10                                          
                        a4             =            13                                   
           และ     an             =            3n + 1
                         2)    – 2,  1,  6,  13,    เป็น   ลำดับอนันต์    ที่มี
                                             a1             =           – 2  
                                             
a2             =           1                                            
                                             a3             =           6                                            
                                              a4             =           13   
                                  
และ   an             =            n2 – 3
            การเขียนลำดับนอกจากจะเขียนโดยการแจงพจน์แล้ว อาจจะเขียนเฉพาะพจน์ที่ n  หรือพจน์ทั่วไปพร้อมทั้งระบุสมาชิกในโดเมน
           
  ตัวอย่าง
 1)      ลำดับ  4,  7,  10,  13    อาจเขียนแทนด้วย
an     =  3n  +  1                                เมื่อ  n    {  1,  2,  3,  4  }
  2)     ลำดับ   – 2 ,  1,  6,  13,    อาจเขียนแทนด้วย
                                an     =      n2 – 3                              เมื่อ  n  เป็นจำนวนเต็มบวก
หมายเหตุ       ในกรณีที่กำหนดลำดับโดยพจน์ที่ n หรือพจน์ทั่วไป ถ้าไม่ได้ระบุสมาชิกในโดเมน   
      ให้ถือว่าลำดับนั้นเป็น  ลำดับอนันต์
    3. ตัวอย่าง ลำดับต่อไปนี้เป็นลำดับจำกัด หรือ ลำดับอนันต์
   ลำดับจำกัด  เป็นลำดับที่มีโดเมนเป็นเซตของจำนวนเต็มบวก n พจน์แรก
   ลำดับอนันต์  เป็นลำดับที่มีโดเมนเป็นเซตของจำนวนเต็มบวก
    1)    6,  12,  18,  24,  30                                                               เป็นลำดับจำกัด
    2)    2,  4,  8,  16,  …,  ,                                                       เป็นลำดับอนันต์
    3)    an   =   5n  – 2   เมื่อ   n    {  1,  2,  3,  …,  20 }             เป็นลำดับจำกัด
    4)                                                                           เป็นลำดับอนันต์
    5)    an   =    n2  +  3                                                                      เป็นลำดับอนันต์